บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ความจริงกับสัจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

ในบทความชุดนี้ ผมต้องการจะเขียนถึง “ความจริง” ของศาสตร์ตะวันตกกับสัจจะของศาสนาพุทธเถรวาทในประเทศไทย

คำว่า ศาสตร์ตะวันตกดังกล่าว หมายถึง วิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตัน ฟิสิกส์ใหม่ และปรัชญาตะวันตกด้วย

ในการติดตามรายการหนังสือที่ออกใหม่ตามร้านหนังสือต่างๆ มาในระยะปีสองปีนี้  จะพบว่ามีหนังสือกระแสหนึ่ง กำลังได้รับความนิยม คือ หนังสือที่พยามยามประกาศว่า หลักธรรมของศาสนาพุทธกับองค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์ว่า เป็นสิ่งเดียวกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีสัมพัทธภาพของฟิสิกส์ใหม่

โดยจะอ้างว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบกับ สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ในยุคฟิสิกส์ใหม่ค้นพบนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน โดยชื่อหนังสือมักจะออกในแนวที่ว่า

ไอน์สไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ
ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น

รวมทั้งหนังสืออีกหลายเล่ม ที่ชื่อของหนังสือไม่ได้สื่อความหมายออกมาในแนวนี้อย่างชัดเจน แต่เนื้อหาในหนังสือก็มีความหมายไปในทำนองที่ว่านี้

ถึงแม้ว่าหนังสือจำพวกดังกล่าวนั้น  จะตั้งชื่อและบทนำที่ให้ความหมายว่า ความจริงของวิทยาศาสตร์กับความจริงของศาสนาพุทธเป็นสิ่งเดียวกัน

แต่เมื่ออ่านเนื้อหาของหนังสือดังกล่าวอย่างจริงจังแล้ว และอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วพบว่า  เนื้อในของหนังสือมักจะอธิบายวกวนสับสนไปมา

โดยเฉพาะหนังสือทั้ง 2 เล่มที่ผมเอ่ยชื่อไปข้างต้นนั้น  ผู้เขียนทั้ง 2 คนดังกล่าว มีความรู้ทั้งวิทยาศาสตร์และศาสนาพุทธผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง จนเชื่อถือเอาไม่ได้เลยทีเดียว

เหตุผลประการหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักเป็นอย่างมากก็คือ  ทฤษฎีของฟิสิกส์ใหม่ที่ช่วยกันโค่นกลศาสตร์แบบนิวตัน (Newtonian Mechanics) ลงไปได้มี 2 ทฤษฎีหลักคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพ(Theory of Relativity) กับ กลศาสตร์ควอนตัม (quantum mechanics)

ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ก็ประกอบด้วย 2 ทฤษฎีย่อยคือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปและทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ

ผู้เขียนหนังสือทั้ง 2 เล่ม ผมได้กล่าวถึงไปแล้ว ไม่เคยเอ่ยถึงกลศาสตร์ควอนตัม  ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ในโลกนี้ กลศาสตร์ควอนตัมส่งผลต่อมนุษย์มากกว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพ เพราะ ทฤษฎีสัมพัทธภาพเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ของจักรวาลนอกโลกเสียมากกว่า

เมื่อมีกระแสนำเอาฟิสิกส์ใหม่มาสับสนปะปนกับพุทธธรรมมากๆ เข้า ก็มีอาจารย์จากภาควิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำในเมืองไทย พยายามออกมาบอกว่า ความจริงทางวิทยาศาสตร์กับสัจจะของศาสนาพุทธมันเป็นคนละเรื่องกัน ไม่ควรนำมาโยงหรือผูกเข้าด้วยกันว่าเป็นสิ่งเดียวกัน

ผู้คนจำนวนมากกลับไม่เชื่อถือนักวิชาการ ซึ่งที่เรียนวิทยาศาสตร์อย่างจริงจังจนถึงระดับปริญญาเอก อาชีพก็เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย และก็สอนวิทยาศาสตร์ด้วย แต่กลับไปให้ความเชื่อถือกับหนังสือเหล่านั้น ที่คนแต่งไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์แต่ประการใด

นั่นก็เป็นตัวชี้วัด ระดับความรู้ของประชาชนคนไทยได้ดีประการหนึ่ง

ในประเด็นนี้ ผมเองเห็นด้วยกับนักวิชาการเป็นอย่างยิ่ง เพราะ ผมเห็นว่า ความจริงของวิทยาศาสตร์ก็อย่างหนึ่ง สัจจะของศาสนาพุทธเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีสิ่งที่เหมือนกันเลย ไม่ว่าจะเป็นวิธีการศึกษา วัตถุประสงค์ของการศึกษา และความจริงที่ค้นพบ ฯลฯ

ถึงแม้พระพุทธเจ้าต้องการค้นพบความจริงทางธรรมชาติเช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ แต่ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น ไม่ได้เป็นความจริงทางธรรมชาติอันเดียวกันกับความจริงทางธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปข้างหน้า

นอกจากนั้นแล้ว ในปัจจุบันนี้ ความรู้ทางฟิสิกส์ใหม่ได้ก้าวหน้าไปมาก จนมีหนังสือในชื่อเรื่องที่ว่า “Beyond Einstein” [เหนือมิติที่สี่ของไอน์สไตน์] ซึ่งหมายถึงว่า องค์ความรู้ใหม่ทำให้ความรู้ที่ได้จากทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์กำลังจะกลายเป็นความจริงเฉพาะที่อีกแล้ว คือเดินซ้ำรอยตามวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตัน

ธรรมชาติความจริงของทางวิทยาศาสตร์นั้น มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ  มีกฎและทฤษฎีที่โค่นของเก่าอยู่ตลอดมา 

การที่พุทธวิชาการนำพุทธธรรมไปเกี่ยวโยงกับฟิสิกส์ใหม่ว่า เป็นอย่างเดียวกัน  เมื่อความจริงทางฟิสิกส์เปลี่ยนไปอีก พุทธวิชาการที่เอาสัจจะของศาสนาพุทธไปผูกไว้กับความจริงของฟิสิกส์ใหม่จะทำอย่างไร

ลักษณะเช่นนี้ เคยเกิดมาแล้วกับพุทธวิชาการที่เอาสัจจะของศาสนาพุทธไปผูกไว้วิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตัน 

พุทธวิชาการกลุ่มนี้ตีความพระไตรปิฎกแบบชาติเดียว เพราะเชื่อไปตามวิทยาศาสตร์แบบนิวตันว่า มนุษย์เกิดมาชาติเดียวเท่านั้น ชาติหน้าชาติอื่นไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี เพราะขาดความเป็นเหตุเป็นผล (Irrationality)

เมื่อฟิสิกส์ใหม่โค่นล้มวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันจนตกเวทีไปแล้ว จะเห็นได้ว่า พุทธวิชาการทาสวิทยาศาสตร์ตกยุคกลุ่มนี้ ทำอะไรไม่ถูก ไม่มีหนังสือใหม่ๆ ในทำนองที่เปรียบเทียบศาสนาพุทธกับฟิสิกส์ใหม่ออกมา

เรียกว่า ไม่กล้าเขียนหนังสือทำนองนี้ออกมาอีก  ทั้งๆ ที่ควรจะออกมาเขียนว่า ตนเองเข้าใจผิดไปอย่างไร การกระทำอย่างนั้น ถึงจะกล่าวได้ว่า เป็นนักวิชาการแท้ ไม่ใช่นักวิชาการอีแอบ

ในขณะที่พุทธวิชาการรุ่นใหม่เปรียบเทียบทฤษฎีใหม่ๆ ทางฟิสิกส์กับพระไตรปิฎกอย่างสนุกสนาน แต่พุทธวิชาการกลุ่มที่ว่านี้ ไม่พยายามจะเขียนถึงฟิสิกส์ใหม่เลย

มีพุทธวิชาการตกยุคบางคนเขียนถึงทฤษฎีของไอน์สไตน์บ้างเหมือนกัน แต่เขียนถึงเพียงแต่ว่า แสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง โดยไม่กล่าวถึงเรื่องคำอธิบายเกี่ยวกับเวลาที่ไม่เท่ากันของไอน์สไตน์แม้แต่น้อย

เนื่องจากตนเองนั้น ได้ไปสมาทานวิทยาศาสตร์เก่ามาเนิ่นนาน และได้ปฏิเสธว่า นรกสวรรค์ไม่มีเพราะพิสูจน์ไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์เก่า พร้อมกันนั้นก็ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนความคิดไปตามฟิสิกส์ใหม่

ที่ไม่กล้าเขียนคำอธิบายเกี่ยวกับเวลาที่ไม่เท่ากันของไอน์สไตน์นั้นก็เป็นเพราะว่า จะไปสนับสนุนเรื่อง นรก สวรรค์ รูปพรหม และอรูปพรหม เป็นต้น

การที่เรื่องดังกล่าวนี้ ไม่ได้รับความเชื่อถือในยุคของวิทยาศาสตร์ตกยุคแบบนิวตัน ก็เป็นเพราะว่า เชื่อกันผิดๆ ว่า เวลาคงที่ตลอดทั้งจักรวาล

หนทางที่ดีที่สุดสำหรับพุทธวิชาการกลุ่มนี้คือ หันไปเขียนหนังสือในแนวอื่น ไม่กล้าที่จะเขียนหนังสือเปรียบเทียบพุทธกับวิทยาศาสตร์อีกเลย ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปซะ

ในบทความนี้ จะเสนอว่า ความจริงของศาสตร์ตะวันตกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเปรียบเทียบความจริงของศาสตร์ตะวันตกกับศาสนาพุทธแล้ว ตรงกัน คล้ายกัน หรือแตกต่างกันอย่างไร

หลังจากนั้นจึงจะเปรียบเทียบให้เห็นว่า ความจริงของศาสตร์ตะวันตกมีลักษณะเป็นเช่นและสัจจะของศาสนาพุทธมีลักษณะเป็นเช่นไร...
................................................................................







2 ความคิดเห็น:

  1. ขอบพระคุณมากครับ สำหรับข้อมูลดีๆเช่นนี้

    ตอบลบ
  2. บทความที่ดีๆ ยังมีอีกมากครับ แถวๆ นี้นี่แหละ หาอ่านเอาเองได้ตามสะดวก

    ตอบลบ